โดยทั่วไปถือกันว่าจักรพรรดิโรมันองค์สุดท้ายคือ โรมุลุส เอากุสตุลุส หรือเรียกสั้นๆ ว่า เอากุสตุลุส ซึ่งขึ้นครองราชย์ขณะยังเป็นวัยรุ่นเมื่อ ค.ศ.475 และที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ พระนามของจักรพรรดิ “พระองค์สุดท้าย” นี้ กลับประกอบด้วยชื่อบุคคลที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์โรมันถึง 2 คน คนแรกเป็นผู้ก่อตั้งกรุงโรม ส่วนอีกคนเป็นผู้สถาปนาจักรวรรดิโรมัน
วงวิชาการจึงถือเอาว่าการสิ้นสุดรัชกาลของพระองค์เป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตก และเป็นจุดเริ่มต้นของสมัยกลางในยุโรปตะวันตกนั่นเอง
เท่าที่เรารู้จากข้อมูล พระองค์ประสูติราว ค.ศ.461 ส่วนการสวรรคตนั้นไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่น่าจะช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5
พระองค์ครองราชย์ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ.475 ถึงวันที่ 4 กันยายน ค.ศ.476 ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ถูกถอดจากราชบัลลังก์หลังจากครองราชย์ได้เพียง 10 เดือนเศษๆ เท่านั้น
บิดาของพระองค์คือ โอเรสเตส ชนชั้นสูงและนักการเมืองโรมันที่ได้อำนาจควบคุมกองทัพเมื่อ ค.ศ.474 แล้วยึดอำนาจจากจักรพรรดิองค์ก่อนหน้านั้น คือ จักรพรรดิจูเลียส เนโพส แล้วแต่งตั้งลูกชายของตัวเอง ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ส่วนมารดาของพระองค์เป็นลูกสาวของเคานท์ โรมุลุส ผู้ปกครองเมืองพาสซัว ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้นบาวาเรียในประเทศเยอรมนีปัจจุบัน
แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าเอากุสตุลุสมีพี่น้องหรือแต่งงานกับใครหรือไม่
ข้อมูลในวัยเด็กก่อนขึ้นครองราชย์เมื่ออายุได้ 14 ปีของจักรพรรดิโรมุลุส เอากุสตุลุส นั้นน้อยมาก
การที่พระองค์เป็นบุตรของชนชั้นสูงที่ถือว่ามีอำนาจสูงสุดในรัฐบาลเวลานั้น ทำให้คาดว่าพระองค์คงได้รับการศึกษาอย่างดีเช่นเดียวกับเด็กชายจากครอบครัวผู้ดีมีสกุลอื่นๆ ในเวลานั้น
เหตุการณ์ก่อนการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์หนุ่มพระองค์นี้มีอยู่ว่า ในเดือนกันยายน ค.ศ.474 จักรพรรดิจูเลียส เนโพส ขึ้นครองราชย์ แล้วแต่งตั้งให้โอเรสเตส บิดาของโรมุลุสขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารที่มีอำนาจสูงสุดในกองทัพโรมัน เขาใช้อำนาจที่มีปูทางขึ้นสู่อำนาจให้แก่ลูกชาย กระทั่งวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ.475 โอเรสเตสก็ยึดอำนาจการปกครองของจักรวรรดิที่เมืองราเวนนาซึ่งถือกันว่าเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันนับแต่ ค.ศ.402 เป็นต้นมา ส่วนจักรพรรดิเนโพสก็หนีไปที่เมืองดัลมาเทีย
แทนที่โอเรสเตสจะขึ้นครองราชย์เสียเอง เขาก็ยกโรมุลุส ลูกชายขึ้นเป็นจักรพรรดิ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ.475
ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ เมื่อแรกนั้น จักรพรรดิหนุ่มวัย 14 ปี พระองค์นี้ได้รับการสถาปนาพระนามว่า โรมุลุส เอากุสตุส ซึ่งประกอบด้วยคำว่า โรมุลุส ซึ่งเป็นบุคคลในตำนานการตั้งกรุงโรม กับ เอากุสตุส (ออกัสตัส = ทายาทของจูเลียส ซีซาร์ และเป็นผู้สถาปนาจักรวรรดิโรมัน) ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ช่างเป็นความบังเอิญเสียจริงที่จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายได้พระนามมาจากจักรพรรดิพระองค์แรก คือ เอากุสตุส ที่ปกครองระหว่างปี 27 ก่อนคริสต์ศักราช ถึง ค.ศ.14 ซึ่งทำให้คนทั่วไปอดขำไมไ่ด้เมื่อได้ยินชื่อจักรพรรดิองค์ใหม่ แถมบางคนยังตั้งชื่อเล่นให้ใหม่ว่า โมมีลลุส ที่แปลว่า เด็กหน้าไม่อาย และ โรมุลุส เอากุสตุลุส ที่แปลว่า เอากุสตุสน้อย ซึ่งก็ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย ตรงนี้แสดงว่าคนที่ยอมรับโรมุลุสในฐานะจักรพรรดิในเวลานั้นก็คงมีไม่มากเท่าไหร่
แล้วก็กลายเป็นว่า คนรู้จัก โรมุลุส เอากุสตุลุส มากกว่า โรมุลุส เอากุสตุส ไปเลยด้วยซ้ำ
ที่จริงต้องเข้าใจว่าตลอดร้อยปีก่อนที่จักรพรรดิหนุ่มพระองค์นี้จะขึ้นครองราชย์ จักรวรรดิโรมันตะวันตกเสื่อมโทรมมาก ถึงมากที่สุด เรียกว่าใกล้จะล่มสลายอยู่รอมร่อแล้ว อำนาจทางการเมืองและดินแดนก็หดหายไปเรื่อยๆ ขณะที่จักรวรรดิฝั่งตะวันตกที่ต่อมาเรียกว่า จักรวรรดิไบเซนไทน์ กลับยิ่งร่ำรวยและมีอำนาจมากขึ้นๆ เรียกว่ากลับกันเป็นตรงข้ามเลย แถมจักรพรรดิของทั้งสองฟากจักรวรรดิก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่เสียด้วย
ด้วยความที่จักรพรรดิโรมุลุส พระชนมายุแค่ 14 ปี พระองค์จึงมิได้ปกครองเอง เพราะอำนาจการบริหารไปอยู่กับบิดาของพระองค์หมด เรียกง่าย ๆว่า สำเร็จราชการแทน นั่นเอง ถึงแม้ว่าจะมีพระนามของพระองค์ปรากฏอยู่บนเหรียญกษาปณ์ของบางเมืองเช่น โรมัน ราเวนนา และมิลาน แต่กลับไม่พบอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติพระองค์เลย ตรงนี้ก็ไม่แปลก เพราะพระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์ ขณะเดียวกันอำนาจที่แท้จริงก็ไปตกอยู่กับบิดา ขณะเดียวกันก็คงเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจและการเมืองด้วย
อีกฟากหนึ่งของจักรวรรดิ ชนเผ่าเยอรมัน 3 เผ่า คือเผ่าเฮรูลี เผ่าตูรซีลิงกิ และเผ่าสกีเรียน รวมต่อกันต่อต้านอำนาจการปกครองของจักรพรรดิโรมุลุสกับบิดา ในที่สุดเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.476 กองทัพชนเผ่าเยอรมันภายในการนำของโอโดเซอร์ ก็นำกำลังตีฝ่าแนวชายแดนเข้ามาในคาบสมุทรอิตาลี
วันที่ 23 สิงหาคม โอโดเซอร์ตั้งตัวเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิตาลี
5 วันต่อมา คือวันที่ 28 สิงหาคม โอเรสเตส บิดาของจักรพรรดิโรมุลุส ถูกทหารของโอโดเซอร์จับและสังหารที่เมืองปิอาเซนซา ทางตอนเหนือของอิตาลี ส่วนจักรพรรดิหนุ่มหลบหนีไปจากสนามรบซึ่งเชื่อกันว่าพระองค์หลบไปที่เมืองราเวนนา
เดือนต่อมา โอโดเซอร์ปลดจักรพรรดิโรมิวลุสออกจากตำแหน่ง จักรวรรดิโรมันตะวันตกที่ยืนยาวมาเกือบ 500 ปีก็ถึงกาลสิ้นสุดลง
แทนที่โรมุลุสจะถูกประหารเช่นเดียวกับบิดาของเขา แต่โอโดเซอร์เห็นว่าพระองค์ยังเด็กเกินไปที่จะตาย จึงไว้ชีวิตแล้วให้ไปอยู่ที่ปราสาทลูคูลลูสในเมืองกัมพาเนีย ทางตอนใต้ของอิตาลี พร้อมให้เงินเป็นค่าใช้จ่ายปีละ 6000 เหรียญทองตลอดไป
หลังการปลดจักรพรรดิองค์สุดท้ายออกจากตำแหน่ง บรรดาพระราชลัญจกร และราชภัณฑ์ต่างๆ ในราชสำนักถูกส่งไปให้จักรพรรดิเซโนแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันออก อันเป็นเครื่องหมายของการสิ้นสุดการปกครองของจักรพรรดิในจักรวรรดิตะวันตกโดยสมบูรณ์
ปัญหาคือเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่โรมุลุสย้ายไปอยู่ที่กัมพาเนีย สิ่งนี้ยังเป็นปริศนาให้นักประวัติศาสตร์ได้ขบคิดกันอยู่เรื่อยมา เพราะมีหลักฐานเพียงน้อยนิดที่จะระบุความเป็นไปที่เกิดขึ้นหลังปี ค.ศ.476 บางคนเชื่อว่าพระองค์ประทับอยู่ปราสาทลูคูลลุสตลอดพระชนม์ชีพ ซึ่งน่าจะยาวมาจนถึงทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 5 ก็เป็นได้