ประวัติ ออง ซาน ซูจี นักต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยแห่งเมียนมา เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ และยังเป็นผู้ที่ UNESCO ยกให้เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านการกดขี่โดยสันติ
เรื่องราวของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหญิงแห่งเมียนมา อย่าง ออง ซาน ซูจี กลับมาเป็นที่จับตามองของคนทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อประเทศเมียนมาจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2558 โดยศึกเลือกตั้งเมียนมา ครั้งนี้ ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่จัดโดยรัฐบาลพลเรือนเป็นครั้งแรกในรอบ 55 ปีของเมียนมา ซึ่งตกอยู่ใต้การปกครองโดยรัฐบาลทหารมานานนับครึ่งศตวรรษ ทั้งยังเป็นการขับเคี่ยวครั้งสำคัญระหว่างพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของ ออง ซาน ซูจี กับพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลบริหารประเทศในปัจจุบัน
แม้ผลการเลือกตั้งพม่า 2558 จะยังไม่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่เค้าลางแห่งชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกครั้งประวัติศาสตร์ของเมียนมา ที่พรรค NLD ของ ออง ซาน ซูจี ได้รับ ก็ชัดเจนจนแทบฟันธงได้อย่างไม่พลาดแน่นอนว่า พรรค NLD ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบัน จะพลิกมาเป็นฝ่ายผู้ครองเก้าอี้ส่วนใหญ่ในรัฐสภา ขณะที่นายตาน ฉ่วย แกนนำพรรครัฐบาล ก็ได้ออกมาประกาศยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว โดยไม่รอผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการเช่นกัน
และเพื่อให้คุณได้รู้จักกับ ออง ซาน ซูจี ดอกไม้เหล็กแห่งเมียนมา ผู้ยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยวเรียกร้องประชาธิปไตยแก่บ้านเกิดของตนมานานนับสิบปีกันมากขึ้น กระปุกดอทคอม ก็ไม่พลาดที่จะนำเรื่องราว ออง ซาน ซูจี มาฝากกันค่ะ
ประวัติ ออง ซาน ซูจี ดอกไม้เหล็กแห่งเมียนมา
ออง ซาน ซูจี เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2488 เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของนายพล ออง ซาน “วีรบุรุษอิสรภาพของประเทศพม่า” ผู้นำการต่อสู้กับญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักร จนนำไปสู่การได้รับอิสรภาพเป็นรัฐเอกราชของสหภาพพม่าเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2491 และนางดอว์ขิ่นจี โดยนายพล ออง ซาน ถูกลอบสังหาร ขณะที่ ออง ซาน ซูจี อายุ 2 ขวบเท่านั้น
สำหรับเรื่องการศึกษานั้น ออง ซาน ซูจี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ ที่เซนต์ฮิวจส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และระดับปริญญาเอก SOAS (School of Oriental and African Studies) มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ชีวิตรักของ ออง ซาน ซูจี กับ ไมเคิล อริส สามีชาวอังกฤษ
เส้นทางความรักของ ออง ซาน ซูจี กับ ไมเคิล อริส เพื่อนนักศึกษาชาวอังกฤษ เกิดขึ้นขณะที่ทั้ง 2 คน ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ โดยตอนนั้น ออง ซาน ซูจี ยังเป็นนักศึกษาสาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ ส่วน ไมเคิล อริส ศึกษาอยู่ในสาขาอารยธรรมธิเบต จนกระทั่งเมื่อปี 2515 ออง ซาน ซูจี และ ไมเคิล อริส ได้เข้าพิธีแต่งงานกัน และมีบุตรชายด้วยกัน 2 คน คือ อเล็กซานเดอร์ และคิม ปัจจุบัน ไมเคิล อริส สามีของ ออง ซาน ซูจี เสียชีวิตแล้ว เมื่อปี 2542 ด้วยโรคมะเร็ง
เส้นทางการเมืองของ ออง ซาน ซูจี จนมาถึงปัจจุบัน
ออง ซาน ซูจี เริ่มก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองในปี 2531 เมื่อ ออง ซาน ซูจี เดินทางกลับบ้านเกิดที่กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เพื่อมาดูแลนางดอว์ขิ่นจี มารดาซึ่งกำลังป่วยหนัก โดยขณะนั้นกำลังเกิดความวุ่นวายในประเทศเมียนมา ทั้งปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ และปัญหาการเมือง ทำให้ประชาชนออกมากดดัน จนนายพล เนวิน ต้องลาออกจากตำแหน่งประธานพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า (The Burma Socialist Programme Party-BSPP) ที่ยึดอำนาจการปกครอง ประเทศเมียนมา มานานถึง 26 ปี
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เกิดการนองเลือดในวันที่ 8 สิงหาคม 2531 (ค.ศ. 1988) หรือที่รู้จักกันในชื่อเหตุการณ์ 8888 ซึ่งประชาชนนับล้านรวมตัวกันในกรุงย่างกุ้ง เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย จนทำให้ผู้นำทหารสั่งปราบปรามประชาชน ผู้ประท้วงราว 3,000 คนเสียชีวิต
จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ปราบปรามประชาชน ในวันที่ 15 สิงหาคม 2531 ออง ซาน ซูจี ก็ได้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นครั้งแรก โดยส่งหนังสือเปิดผนึกถึงรัฐบาลเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อเตรียมการเลือกตั้งทั่วไป และในวันที่ 24 กันยายน 2531 ออง ซาน ซูจี ได้ร่วมจัดตั้ง “พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย” หรือเอ็นแอลดี (National League for Democracy: NLD) ขึ้นมา และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค ต่อจากนั้น ออง ซาน ซูจี ได้เดินหน้าปราศัยทางการเมืองเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2532 ได้เกิดเหตุการณ์ที่ดินดอนสามเหลี่ยมอิรวดี ซึ่งในตอนนั้น ออง ซาน ซูจี ได้เดินเข้าหาเหล่าทหารที่ถือปืนไรเฟิลเล็งเข้าหาตนเอง
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2532 รัฐบาลทหารเมียนมา ได้ใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกสั่งกักบริเวณ ออง ซาน ซูจี ให้อยู่แต่ในบ้านพักเป็นครั้งแรก เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่มีข้อหา ทั้งยังได้จับกุมสมาชิกพรรค NLD จำนวนมากไปคุมขังไว้ที่เรือนจำอินเส่ง โดย ออง ซาน ซูจี ได้อดอาหารเพื่อประท้วง และเรียกร้องให้นำตนเองไปขังรวมกับสมาชิกพรรคคนอื่น ๆ ต่อมา ออง ซาน ซูจี ยุติการอดอาหารประท้วงเมื่อรัฐบาลเผด็จการทหารให้สัญญาว่า จะปฏิบัติต่อสมาชิกพรรค NLD ซึ่งถูกคุมขังไว้ในเรือนจำเป็นอย่างดี
ชีวิตของ ออง ซาน ซูจี หลังถูกกักบริเวณอยู่ภายในบ้านพัก จนวันที่ได้รับอิสรภาพ
หลังจากที่ ออง ซาน ซูจี ถูกกักบริเวณอยู่ภายในบ้านพัก ปรากฏว่า รัฐบาลทหารเมียนมาในขณะนั้น ได้จัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นในปี 2533 ปรากฏว่า พรรค NLD ของ ออง ซาน ซูจี ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้ง โดยได้ที่นั่งในสภาร้อยละ 82 แต่รัฐบาลทหารเมียนมาไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น ทว่าได้มีการยื่นข้อเสนอให้ ออง ซาน ซูจี ยุติบทบาททางการเมือง และเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อไปใช้ชีวิตกับครอบครัวที่ประเทศอังกฤษ ซึ่ง ออง ซาน ซูจี ได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว เป็นเหตุให้รัฐบาลทหารเมียนมามีคำสั่งยืดเวลาการกักบริเวณ ออง ซาน ซูจี ออกไปอีก
จนกระทั่ง 6 ปีต่อมา ออง ซาน ซูจี ได้รับอิสรภาพ แต่เพียงไม่นานเธอก็ถูกรัฐบาลทหารเมียนมาสั่งกักบริเวณอีกครั้ง โดยปราศจากความผิด ซึ่งการสั่งกักบริเวณในครั้งนี้กินเวลา 18 เดือน จน ออง ซาน ซูจี ได้รับอิสรภาพในเดือนพฤษภาคม 2545 ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2546 ออง ซาน ซูจี ได้เดินทางไปพบปะประชาชน ซึ่งระหว่างนั้นได้เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้าน ทำให้รัฐบาลทหารเมียนมานำเหตุผลดังกล่าวมาสั่งกักบริเวณ ออง ซาน ซูจี อีกครั้ง
ต่อมาเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2553 รัฐบาลทหารเมียนมา ได้มีคำสั่งปล่อยตัว ออง ซาน ซูจี ออกจากบ้านพัก หลังถูกนานาชาติกดดันอย่างหนัก และในวันที่ 23 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ออง ซาน ซูจี ก็ได้พบกับ คิม บุตรชายคนเล็กเป็นครั้งแรก โดยออง ซาน ซูจี ได้รอรับบุตรชายที่สนามบินมิงกาลาดง ถือเป็นครั้งแรกที่ ออง ซาน ซูจี ได้อยู่ร่วมกับครอบครัว แม้จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม
ออง ซาน ซูจี กับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยภายในประเทศเมียนมา ทำให้ในวันที่ 14 ตุลาคม 2534 คณะกรรมการรางวัลโนเบล ประกาศมอบรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ให้แก่ ออง ซาน ซูจี (สตรีคนแรกของเอเชียที่ได้รับรางวัลโนเบล) โดยในวันที่ 14 ตุลาคม 2534 ซึ่งมีพิธีมอบรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ที่ศาลาว่าการกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์นั้น ออง ซาน ซูจี ไม่มีโอกาสเดินทางไปรับรางวัลด้วยตัวเอง เนื่องจากยังถูกกักบริเวณอยู่ภายในบ้านพักที่ประเทศเมียนมา
ซึ่งในวันดังกล่าว ไมเคิล อริส สามีของออง ซาน ซูจี และบุตรชายคือ อเล็กซานเดอร์ และคิม ได้เดินทางไปรับรางวัลโนเบลแทน ส่วน ออง ซาน ซูจี ทำได้แต่เพียงติดตามข่าวการประกาศรางวัลจากการฟังวิทยุอยู่ที่บ้านพัก
จนกระทั่งวันที่ 16 มิถุนายน 2555 ออง ซาน ซูจี จึงมีโอกาสเดินทางไปที่กรุงออสโล เพื่อกล่าวสุนทรพจน์ในโอกาสได้รับรางวัลโนเบลว่า “ตนทราบข่าวรางวัลนี้ทางวิทยุ ขณะถูกคุมขังในบ้านพัก ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับรางวัลใด ๆ เพียงแต่รางวัลที่จะได้เห็นบ้านเมืองที่เสรี ปลอดภัย และยุติธรรม ตนขอบคุณสำหรับรางวัลนี้ ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ ที่เกื้อหนุนการแสวงหาสันติภาพของพม่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวโลกต่างแสวงหาเช่นกัน จากสภาพที่ต้องถูกคุมขังโดดเดี่ยวในบ้านของตัวเอง รางวัลโนเบลนี้ ได้สร้างความรู้สึกว่า ตนมีความเชื่อมโยงกับโลกภายนอก เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้อยู่ เป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ่งบอกว่า โลกนี้ไม่ลืมพม่า”
ออง ซาน ซูจี สัญลักษณ์แห่งการต่อต้านการกดขี่โดยสันติ
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2545 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศให้ ออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ พรรค NLD ที่ต่อสู้โดยสันติวิธีเพื่อเรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยในบ้านเกิดของตน เป็น “สัญลักษณ์แห่งการต่อต้านการกดขี่โดยสันติ”
ออง ซาน ซูจี กับตำแหน่งผู้นำรัฐบาลคนใหม่ของประเทศเมียนมา

Myanmar opposition leader Aung San Suu Kyi (C) and other National League for Democracy (NLD) party officials look on at gathered supporters at the NLD headquarters in Yangon on November 9, 2015. Supporters of Aung San Suu Kyi’s opposition party were optimistic November 9 of a victory in Myanmar’s milestone elections as they awaited first results from polls that could sweep away decades of military control. AFP PHOTO / Phyo Hein Kyaw
ศึกเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศเมียนมานั้น แม้จะมีชื่อพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ พรรค NLD ของ ออง ซาน ซูจี ร่วมชิงชัยด้วย แต่เส้นทางก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของ ออง ซาน ซูจี กับไม่มีวันเป็นจริงได้ แม้ว่า สุดท้ายแล้ว หากพรรค NLD จะสามารถคว้าชัยในการเลือกตั้ง เนื่องจากรัฐธรรมนูญของประเทศเมียนมาได้บัญญัติไว้ว่า ห้ามไม่ให้บุคคลที่มีสามี หรือบุตรเป็นคนต่างด้าว หรือถือสัญชาติอื่น ที่ไม่ใช่สัญชาติเมียนมา ลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีโดยเด็ดขาด
แต่ถึงอย่างไร ออง ซาน ซูจี ก็ได้เคยประกาศไว้ว่า ถ้าพรรค NLD ชนะเลือกตั้ง และพวกเราได้จัดตั้งรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ก็จะขอเป็นผู้นำรัฐบาลเอง ไม่ว่าจะได้เป็นประธานาธิบดีหรือไม่ก็ตาม
ออง ซาน ซูจี พบ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เมียนมา
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เดินทางเยือนเมียนมา เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำกลุ่มอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ครั้งที่ 4 ที่ กรุงเนปิดอว์ ซึ่งการเดินทางไปเมียนมาครั้งนี้ ยิ่งลักษณ์ มีโอกาสได้พบกับ ออง ซาน ซูจี สถานเอกอัครราชทูตไทย ในนครย่างกุ้ง เมื่อช่วงค่ำวันที่ 20 ธันวาคม 2554 แต่ไม่มีการเปิดเผยว่าในการพบกันระหว่าง ยิ่งลักษณ์ และออง ซาน ซูจี มีการหารือในเรื่องใดบ้าง
ออง ซาน ซูจี เยือนไทยครั้งแรก หลังรับอิสรภาพ
ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2555 ออง ซาน ซูจี ได้เดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ถูกกักบริเวณเมื่อปี 2533 โดย ออง ซาน ซูจี ได้เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกว่าด้วยเอเชียตะวันออก (World Economic Forum on East Asia 2012) ในวันที่ 1 มิถุนายน 2555
ออง ซาน ซูจี พบกับบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 บารัค โอบามา ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ได้เดินทางไปพบกับนางออง ซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านของพม่า ที่บ้านพักนางซูจี ในนครย่างกุ้ง เพื่อหารือเกี่ยวกับการปฏิรูปการเมืองของพม่า และการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2558
เพลงออง ซาน ซูจี หนึ่งในผลงานของ คาราบาว
สำหรับเพลงออง ซาน ซูจี ถือว่าเป็นหนึ่งในผลงานของ ยืนยง โอภากุล หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ แอ๊ด คาราบาว ศิลปินเพลงเพื่อชีวิต ซึ่งมักสร้างสรรค์บทเพลงที่ล้วนแล้วแต่มีความหมายเป็นเรื่องราวบอกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ณ ยุคสมัยนั้น ๆ
โดยเพลงออง ซาน ซูจี เป็นหนึ่งในผลงานของ แอ๊ด คาราบาว ที่ต้องการนำเรื่องราวการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยกับรัฐบาลทหารตามแนวทางของ ออง ซาน ซูจี มาถ่ายทอดให้สาธารณชนได้รับรู้
ออง ซาน ซูจี หนังตีแผ่ชีวิตสตรีที่ยอมอุทิศทั้งชีวิตและครอบครัวเพื่อแผ่นดินเกิด
เรื่องราวของ ออง ซาน ซูจี นั้นได้รับความสนใจไปทั่วโลก จนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และเข้าฉายในประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555 สำหรับภาพยนต์เรื่องดังกล่าว เป็นผลงานการกำกับของ ลุค เบซอง ผู้กำกับชาวฝรั่งเศส ที่ได้นักแสดงคุณภาพมากฝีมือ มิเชลล์ โหย่ว มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของ ออง ซาน ซูจี สตรีที่เป็นเสมือนตัวแทนผู้นำแห่งจิตวิญญาณของเสรีชนเพื่อเรียกร้องเสรีภาพในเมียนมา
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ 12 เรื่องน่ารู้ของ ออง ซาน ซูจี ดอกไม้เหล็กแห่งเมียนมา ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ อ่านจบแล้วก็ยิ่งเห็นถึงความอดทน และความมุ่งมั่นในฐานะนักต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของเธอที่ไม่แพ้ใครเลยจริง ๆ